INTRO
บริษัทฯ มุ่งเน้นที่จะเป็นผู้นาในการเข้าพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในทำเลศักยภาพใหม่ๆ
ซึ่งมีแนวโน้มการเติบโตของความต้องการที่อยู่อาศัยสูง และมีความเป็นไปได้ในการแข่งขัน
เช่น ทำเลแนวรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย และย่านอุตสาหกรรม โดยมีรูปแบบในการขยายตัวและการพัฒนาโครงการในแต่ละทาเล
2 รูปแบบหลัก คือ (1) Cluster Model เป็นการพัฒนาโครงการในรูปแบบและระดับราคาที่หลากหลายในแต่ละทำเล
เพื่อตอบสนองความต้องการในทุกระดับในทำเลต่างๆ (2) Compound Mix use Model หรือที่เรียกว่า
Origin District ซึ่งเป็นการรวมการพัฒนาโครงการในรูปแบบและระดับราคาต่างๆ
ไว้ในพื้นที่เดียวกัน
กลยุทธ์ทางธุรกิจของกลุ่มบริษัทฯ
-
บริษัทฯ
มีแผนการกระจายการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียมในหลายพื้นที่ที่มีศักยภาพตามแนวสถานีขนส่งมวลชนระบบรางในเขตกรุงเทพมหานคร
และปริมณฑล บริษัทฯ
จึงมีแผนในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ บริเวณพื้นที่ใกล้กับนิคมอุตสาหกรรม
เช่น นิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง นิคมอุตสาหกรรมเหมราช
นิคมอุตสาหกรรมปู่เจ้าสมิงพราย เป็นต้น
-
บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการออกแบบโครงการเป็นอย่างมาก
โดยทุกโครงการจะมีรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีความโดดเด่น
-
การลงทุนในธุรกิจที่มีการรับรู้รายได้แบบ
Recurring Income เช่น โรงแรม, อพาร์ทเม้นท์,
สำนักงานเพื่อเช่า, พื้นที่เช่าเพื่อการพาณิชย์
เพื่อสร้างฐานรายได้ที่สม่ำเสมอเพิ่มขึ้นในอนาคต
โครงสร้างของบริษัทฯ
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2559 สรุปได้ดังนี้
ลักษณะการประกอบธุรกิจ
กลุ่มลูกค้าหลักของบริษัทฯ ได้แก่
กลุ่มลูกค้าวัยเริ่มทำงาน (First Jobber) กลุ่มลูกค้าที่ต้องการเปลี่ยนจากการเช่าที่พักอาศัยเป็นซื้อที่พักอาศัยที่มีช่วงอายุ
21-35 ปี กลุ่มลูกค้าท้องถิ่น (Local Demand) ที่มีความต้องการขยายครอบครัว
กลุ่มลูกค้าที่มองหาที่พักอาศัยให้กับลูกหลานที่อยู่ในวัยเรียน
และกลุ่มลูกค้าต่างชาติเพื่อรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC)
รายได้รวมของบริษัทฯ
สำหรับปีบัญชีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2557 –
31 ธันวาคม 2559 สามารถจำแนกตามกลุ่มธุรกิจได้ดังต่อไปนี้
ทั้งนี้ปัจจุบันโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทฯ
ได้ปรับเป็น 3 แบรนด์หลัก ตามลักษณะรูปแบบของโครงการ
และกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ในแต่ละทาเล เพื่อความชัดเจนในรูปแบบการพัฒนาโครงการ
และการรับรู้ถึงคุณค่าของแบรนด์ในสายตาผู้บริโภคมากขึ้น
1.
Kensington (ระดับราคาย่อมเยา)
2.
Notting Hill (ระดับราคาปานกลาง)
3.
Knightsbridge (ระดับราคาสูง)
ภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์
ความคืบหน้าการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายใหม่และส่วนต่อขยายยังคงเป็นปัจจัยที่สำคัญของการขยายตัวของความต้องการที่อยู่อาศัยในทาเลที่รถไฟฟ้ากาลังจะไปถึง
นอกจากนี้โครงการที่อยู่อาศัยใจกลางเมืองรวมทั้งแนวรถไฟฟ้ายังได้รับความสนใจจากผู้บริโภคสูงมากขึ้น
ขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจภายในประเทศเริ่มฟื้นตัวชัดเจนขึ้น
น่าจะส่งผลให้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคฟื้นตัวดีขึ้น อย่างไรก็ตามนอกจากแนวโน้มการเติบโตของทำเลต่างๆแล้ว
ปัจจัยด้านราคาที่ดินที่ปรับตัวสูงขึ้นมาก(ดัชนีราคาที่ดินและดัชนีราคาที่อยู่อาศัยปี
2559 ปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2558 โดยเฉพาะราคาที่ดินเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ
8.9)และภาวะอุปทานคงค้างในบางทำเลยังคงเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจพัฒนาโครงการในแต่ละทำเล
การจัดซื้อที่ดิน
บริษัทฯ
ไม่มีนโยบายถือครองทรัพย์สินหรือที่ดินเปล่าที่ไม่พร้อมจะพัฒนา แต่บริษัทฯ จะใช้วิธีวางแผนในการจัดซื้อที่ดิน
ในทำเลศักยภาพซึ่งสามารถพัฒนาโครงการได้ภายในระยะเวลา 1 ถึง 2 ปี
ให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาโครงการของบริษัทฯ
ปัจจัยความเสี่ยง
-
เน้นทำเลที่มีแนวโน้มการเติบโตของศักยภาพสูง
และการแข่งขันในการซื้อที่ดินกับผู้ประกอบการรายอื่น ยังต่ำ ส่งผลให้บริษัทฯ
สามารถจัดซื้อที่ดินในราคาไม่แพงและเงินที่ใช้วางมัดจำที่ค่อนข้างต่ำ
เมื่อเปรียบเทียบกับโอกาสการพัฒนาโครงการในอนาคต
-
บริษัทฯ อาจมีความเสี่ยงหากตลาดอสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียมในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลเกิดภาวะอุปทานล้นตลาด
อันเกิดจากจานวนห้องชุดพักอาศัยเพิ่มสูงขึ้นเกินกว่าความต้องการของผู้บริโภค
หรือเกิดจากกำลังซื้อของกลุ่มลูกค้าหลักอาจถูกกระทบอย่างมากจากอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
และอัตราส่วนสินเชื่อต่อรายได้ที่มีแนวโน้มสูงขึ้น โดยกลุ่มบริษัทฯ
มีแผนจะเริ่มพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบประเภทบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด 1 โครงการในปี
2560 ภายใต้บริษัท ออริจิ้น เฮ้าส์ จากัด และ อยู่ระหว่างการวางแผนพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในธุรกิจโรงแรมที่ศรีราชา
จังหวัดชลบุรี ภายใต้ บริษัท ออริจิ้น วัน จากัด โดยความร่วมมือกับ Intercontinental
Hotels Group (IHG) เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับกลุ่มบริษัทฯ
ในระยะยาว
-
เพื่อลดความเสี่ยงทางด้านต้นทุนการก่อสร้างดังกล่าว
บริษัทฯ ได้ดำเนินการพิจารณาจัดจ้างบริษัทผู้รับเหมาก่อสร้างที่มีความน่าเชื่อถือ
โดยทำสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างแบบกำหนดราคาแน่นอนรวมค่าวัสดุก่อสร้าง (Turn Key Contract) ซึ่งบริษัทผู้รับเหมาก่อสร้างจะเป็นผู้รับผิดชอบในการจัดซื้อวัสดุก่อสร้างหลัก
โดยคำนวณรวมเป็นส่วนหนึ่งในราคาค่าจ้างก่อสร้าง ดังนั้น หากวัสดุก่อสร้างหลักปรับตัวสูงขึ้นในระหว่างการก่อสร้าง
จะไม่ส่งผลกระทบต่อบริษัทฯ
เนื่องจากผู้รับเหมาก่อสร้างจะเป็นผู้รับความเสี่ยงดังกล่าว นอกจากนี้
บริษัทฯ จะเป็นผู้จัดหาวัสดุก่อสร้างบางประเภทที่สามารถนับจำนวนได้แน่นอนและมีราคาต่อหน่วยค่อนข้างสูง
เช่น ลิฟท์ เฟอร์นิเจอร์ และเครื่องปรับอากาศ เป็นต้น
-
ผลการดาเนินงานของบริษัทฯ
จะมีความไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับความสาเร็จของโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา
-
การแข่งขันในตลาดที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมมีแนวโน้มการแข่งขันที่สูงขึ้นเนื่องจากการเติบโตของตลาดค่อนข้างจากัด
และมีสินค้าคงเหลือในตลาดค่อนข้างสูง จากสถานการณ์ขายที่ยังไม่ฟื้นตัว
นอกจากนี้ ยังมีคู่แข่งหลายราย โดยบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นคู่แข่งส่วนใหญ่ จากสถานการณ์ดังกล่าว
บริษัทฯ ยังมีกลยุทธ์หลักที่แตกต่างด้วยการเน้นการเป็น First Mover ในการเข้าไปพัฒนาโครงการในทำเลใหม่ๆ
ที่มีแนวโน้มการเติบโตทางศักยภาพสูง แต่ยังมีการแข่งขันต่ำ
ด้วยการศึกษาและวิเคราะห์ความเป็นไปได้ในการพัฒนาโครงการในทำเลต่างๆ อย่างเจาะลึก
ส่งผลให้สามารถได้ที่ดินในราคาถูก
และมีค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่ต่ากว่าในทาเลที่มีการแข่งขันสูง
อีกทั้งยังสามารถกาหนดราคาชี้นาตลาดได้
ขณะเดียวกันในทาเลที่มีการแข่งขันสูงบริษัทฯ ใช้กลยุทธ์ในการพัฒนาโครงการให้มีความแตกต่างและมีจุดขายที่ชัดเจนตรงกับความต้องการของผู้บริโภค
-
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2559 บริษัทฯ
มีหนี้สินรวมจานวน 4,014.9 ล้านบาท โดยเป็นหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย
(Interest Bearing Debt) จานวน 2,576.7
ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 64.18 ของหนี้สินรวม โดยหากอัตราดอกเบี้ย เพิ่มขึ้นหรือลดลงทุก
1.00% จะส่งผลให้บริษัทฯ
มีค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นหรือลดลงประมาณ 25.8 ล้านบาท
ทั้งนี้ หากพิจารณาเฉพาะในส่วนของหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย (Interest
Bearing Debt) ของบริษัทฯ จะพบว่าอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นมีค่าเท่ากับ
0.94 เท่า แต่หากในอนาคตอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมมีการปรับเพิ่มสูงขึ้น
อาจทำให้ส่งผลกระทบโดยตรงในทางลบต่อต้นทุนการพัฒนาโครงการ
กำไรและผลการดำเนินงานของบริษัทฯ อย่างมีนัยสำคัญ
สำหรับปี 2558 และ
ปี 2559 บริษัทฯ มีรายได้รวมจำนวน 2,055.1 ล้านบาท
และ 3,199.0 ล้านบาท ตามลาดับ และมีกำไรสุทธิ 386.3 ล้านบาท
และ 637.6 ล้านบาท ตามลาดับ ทั้งนี้
บริษัทฯมีรายได้รวมเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการเติบโตขึ้นของรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นส่วนใหญ่
กล่าวคือ รายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์มาจากการเพิ่มขึ้นของโครงการที่แล้วเสร็จและได้มีการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดให้แก่ผู้ซื้อ
***มุมมองส่วนตัว
- จะเห็นได้ว่ารายได้ค่อนข้างเติบโตสูง บริษัทฯ มีการบริหารจัดการต้นทุนที่ดี และมีโครงการที่อยูุ่ระหว่างการพัฒนาอีกเยอะ
- แต่ก็มีความเสี่ยงหลักๆเลยคือ ภาวะสินค้าคงเหลือล้นตลาด(คอนโด) ตอนนี้หลายๆเจ้าก็ได้สร้างคอนโดออกมาเรื่อยๆโดยเน้นตามแนวรถไฟฟ้า การแข่งขันค่อนข้างสูง กลยุทธ์ที่บริษัทฯ จะเน้นเป็นfirst mover แต่การแข่งขันในตลาดคอนโดก็ยังยากในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ ต้องติดตามโครงการที่กำลังสร้างต่อไปว่าจำนวนห้องที่เหลืออยู่จะขายได้เพิ่มขึ้นบ้างมั้ย
- บริษัทฯ มีแผนลงทุนในธุรกิจที่สามารถสร้าง recurring incomeอย่างต่อเนื่อง เช่น ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่า เป็นต้น โดยอยู่ระหว่างการวางแผนพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในธุรกิจโรงแรมที่ศรีราชา
จังหวัดชลบุรี ภายใต้ บริษัท ออริจิ้น วัน จากัด โดยความร่วมมือกับ Intercontinental
Hotels Group (IHG) เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับกลุ่มบริษัทฯ
ในระยะยาว ซึ่งอันนี้สำหรับมุมมองส่วนตัวคือน่าสนใจดี
- สรุป ในมุมมองของผมในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ค่อนข้างเติบโตยากเพราะมีการแข่งขันที่สูง ในภาวะตลาดฟื้นตัวแบบนี้ แต่กลยุทธ์และแผนงานการเติบโตในอนาคตของวORIนี่สนใจเลยทีเดียว
No comments:
Post a Comment